เกษตรกรในหลายภูมิภาคต้องเผชิญกับสถานการณ์การดินขาดความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากขาดอินทรียวัตถุในปริมาณที่เพียงพอ ดังนั้นการรวมอินทรียวัตถุเข้าไปในดินจะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งในการปรับปรุงโครงสร้างและองค์ประกอบของดิน นอกจากนี้ การปลูกพืชบำรุงดินจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ปุ๋ยเคมีให้สูงสุด ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น การใช้ ปุ๋ยพืชสด เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าประหยัดและมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหานี้
การปลูกพืชบำรุงดิน พืชที่ใช้ทำเป็น ปุ๋ยพืชสด เช่น
- พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ปอเทือง โสนอัฟริกัน
- พืชน้ำ เช่น ผักตบชวา จอก แหน แหนแดง
ซึ่งบทความนี้เราจะมาพูดถึงพืชบำรุงดินแบบพืชสดประเภทพืชตระกูลถั่ว ในด้านเกษตรกรรมเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าพืชตระกูลถั่วชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ป่าน โสม ถั่วพุ่มดำ ถั่วนิ้วนางแดง ถั่วลาย ถั่วป่า ผักกระเฉดไร้หนาม ถั่วอะคาเซียยักษ์ และอื่น ๆ มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน พืชเหล่านี้สามารถนำมาประกอบกับการเกิดและคงอยู่ของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในโหนดรากของพืชตระกูลถั่ว ซึ่งมีความสามารถในการเปลี่ยนไนโตรเจนจากชั้นบรรยากาศให้เป็นรูปแบบที่ใช้งานได้สำหรับพืช และมีความสำคัญมากขึ้นในขอบเขตของการทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งห้ามใช้ปุ๋ยเคมี ด้วยเหตุนี้ การเพาะปลูกพืชตระกูลถั่วจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งและถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่มีคุณค่าในการเกษตรแบบยั่งยืน
คุณสมบัติที่พึงประสงค์หลายประการที่พืชปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดมีดังนี้
- จำเป็นอย่างยิ่งที่พืชต้องเจริญเติบโตและออกดอกอย่างรวดเร็ว
- ควรมีน้ำหนักจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น
- ทนต่อสภาะแวดล้อมได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นสภาพแห้งแล้งและมีศัตรูพืชรบกวนน้อยที่สุด
- หลังจากพืชกลบลงดินเรียบร้อยแล้วสามารถย่อยสะลายได้อย่างรวดเร็ว
ข้อดีของการใช้ปุ๋ยพืชสด
การปรับปรุงคุณภาพดินด้วยการใช้ปุ๋ยพืชสดเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงที่ช่วยให้สารอาหารที่จำเป็นกลับเข้าสู่ดินได้ วิธีการใช้พืชบำรุงดินนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการเจริญเติบโตของพืชในอนาคต โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่าปมในบริเวณราก ปมเหล่านี้มีความสามารถในการเพิ่มคุณค่าให้กับดินด้วยสารอาหารที่สำคัญ โดยเฉพาะไนโตรเจน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบำรุงและฟื้นฟูดิน นอกจากนี้ การนำปุ๋ยพืชสดมาใช้ในการปฏิบัติทางการเกษตรสามารถช่วยขัดขวางวงจรอุบาทว์ของโรคและแมลงที่มักพบในนาข้าวได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเกษตรกรในการจัดลำดับความสำคัญและนำเทคนิคนี้ไปใช้ในพื้นที่ของตน เนื่องจากไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ยังช่วยเพิ่มผลผลิตพืชผลอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย เราจึงยกตัวอย่างมาด้วยกัน 2 ชนิดคือ ตระกูลถั่ว และปอเทือง เป็นพืชที่นิยมนำไปใช้เนื่องจากง่ายและได้ผลเป็นอย่างดี
พืชตระกูลถั่ว
โดยรวมแล้ว การปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อเป็นพืชบำรุงดินแบบปุ๋ยพืชสดเป็นวิธีปฏิบัติที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพในการเกษตรแบบยั่งยืน ไม่เพียงแต่เพิ่มสารอาหารที่มีคุณค่าให้กับดินเท่านั้น แต่ยังปรับปรุงโครงสร้างของดิน เพิ่มการกักเก็บน้ำ และลดความจำเป็นในการใช้ปุ๋ยสังเคราะห์อีกด้วย ด้วยการรวมพืชตระกูลถั่วเข้ากับระบบการเกษตรของเรา เราสามารถส่งเสริมสุขภาพของดิน เพิ่มผลผลิตพืชผล และมีส่วนช่วยในอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น
วิธีการปลูก :
- ในกรณีปลูกผักเราอาจต้องใช้เวลาในการปลูกพืชตระกูลถั่วอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง (การปลูกพืชตระกูลถั่วใช้เวลาประมาณ 45-50 วัน)
- การปลูกพืชตระกูลถั่วควบคู่ไปกับการปลูกพืชหลัก เช่น การแบ่งพื้นที่ปลูกพืชตระกูลถั่วบางส่วน พื้นที่ที่เหลือสามารถปลูกได้ตามปกติ จากนั้นหมุนพื้นที่ปลูกระหว่างพืชหลักและพืชตระกูลถั่ว ในกรณีที่ดินสำหรับปลูกไม้ผลเราสามารถปลูกพืชตระกูลถั่วระหว่างแถวของไม้ผลได้ (สามารถเลือกชนิดของถั่วฝักยาวได้)
- การปลูกพืชตระกูลถั่วในพื้นที่เฉพาะหรือตามขอบแปลงที่ดิน จากนั้นเมื่อถึงช่วงออกดอกให้ตัดหรือถอนต้นถั่วเพื่อทำปุ๋ยหมัก
ปอเทือง
ปอเทือง (sunn hemp) เป็นอีกหนึ่งชนิดเป็นพืชบำรุงดินที่เกษตรกรนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นพืชตระกูลถั่วเป็นพืชที่มีลักษณะลำต้นตั้งตรงและเรียวยาว ด้วยกิ่งก้านเพียงไม่กี่ถึงปานกลาง ลำต้นจึงมีขนาดประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ในขณะที่ความสูงโดยรวมของพืชอยู่ระหว่าง 1.5-3 เมตร ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของลำต้นคือเปลือกสีเขียวบางๆ ซึ่งสามารถลอกเป็นเส้นได้ง่าย ไม้ของลำต้นค่อนข้างอ่อน เปราะ และแตกหักง่าย จึงเหมาะแก่การผลิตเยื่อกระดาษ พืชอเนกประสงค์นี้ปลูกโดยทั่วไปในสองฤดูกาล ได้แก่ ฤดูหนาวหลังการเก็บเกี่ยวข้าว โดยทั่วไปคือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม และฤดูฝนตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม วัตถุประสงค์หลักของการปลูกป่านซันคือการใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยพืชสดและการผลิตหญ้าเพื่อเป็นอาหารสัตว์ อย่างไรก็ตาม ยังมีวัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการจัดหาดอกไม้กินได้เพื่อการบริโภค
วิธีการปลูก :
ในการหว่านและปลูกโดยทั่วไปจะใช้เมล็ดประมาณ 3-5 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตจึงมักใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยคอกในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้การไถแบบตื้นยังถือเป็นมาตรการที่คุ้มค่า เมื่อเมล็ดป่านงอกแล้ว ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 50-60 วัน ระยะการออกดอกจะเริ่มขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่สามารถเก็บเกี่ยวดอกกัญชาและนำไปใช้ในการปรุงอาหารได้
ประโยชน์ปอเทือง
- ใช้เป็นปุ๋ยเขียว เนื่องจากเป็นพืชตระกูลถั่วจึงมีไนโตรเจนสูงมาก รวมถึงสารอาหารอื่น ๆ ด้วย
- ใช้เป็นวัสดุคลุมดิน ป้องกันการพังทลายของดิน
- ใช้เลี้ยงโค กระบือ รวมทั้งดอกไม้และใบไม้ซึ่งใช้เลี้ยงหมูได้ด้วย
- ดอกใช้รับประทานได้ จะรับประทานสดหรือปรุงสุกแล้วจิ้มกับน้ำพริกก็ได้ รวมทั้งนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น แกงอ่อม แกงเลียง ต้มยำ เป็นต้น
- ลำต้นของต้นไม้ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษ
- เปลือกลำต้นสามารถลอกออกเป็นเส้นได้ เป็นเส้นใยที่มีความเหนียวสูงซึ่งสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชือก ด้าย ตาข่าย ฯลฯ
อ่านบทความสาระน่ารู้เกษตรเพิ่มเติมได้ที่นี่ : สาระน่ารู้เกษตร
ข้อมูลจาก : คู่มือการปลูกผักอินทรีย์โครงการหลวง 2552 , สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง , พืชเกษตร.คอม