เกษตรดิจิทัลคืออะไร
เกษตรดิจิทัล คือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตทางการเกษตร ตั้งแต่การเพาะปลูกไปจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ถึงมือผู้บริโภค เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น

แนวโน้มการขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลในภาคการเกษตร
การเติบโตของประชากรโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 7 พันล้านคนเป็นเกือบ 10 พันล้านคนในอีก 30 ปีข้างหน้า ทำให้ความต้องการอาหารและเส้นใยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน เกษตรกรต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝน และเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เทคโนโลยีดิจิทัลจึงมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลและเครื่องมือที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและผลิตอย่างยั่งยืน

โอกาสในการเพิ่มผลผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่
1. หุ่นยนต์ในภาคการเกษตร: การใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ เช่น โคนม สัตว์ปีก และเนื้อวัว ช่วยในการให้อาหาร การรีดนม การคัดแยกไข่ และการทำความสะอาดอัตโนมัติ เทคโนโลยีเหล่านี้ยังช่วยตรวจหาและรักษาปัญหาสุขภาพสัตว์ตั้งแต่เนิ่น ๆ
2. เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม: การใช้ภาพถ่ายดาวเทียมช่วยในการปลูกพืช โดยอุปกรณ์ที่ติดตั้งโปรแกรมสามารถปรับอัตราการเพาะเมล็ดและความลึกตามคุณสมบัติของดินและข้อมูลความชื้น
3. โดรนและเซ็นเซอร์: การใช้โดรนที่ติดตั้งเซ็นเซอร์แสงอินฟราเรดและความร้อนร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อวัดสุขภาพของพืช ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการชลประทาน การจัดการศัตรูพืช การใช้ปุ๋ย และการเก็บเกี่ยวผลผลิต
4. เซ็นเซอร์และการระบุตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์: เซ็นเซอร์ไบโอเมตริกซ์ด้านสุขภาพสัตว์และอุปกรณ์ระบุอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้เกษตรกรตอบสนองต่อกรณีของความเครียดหรือโรคของสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การผลิตปศุสัตว์มีประสิทธิภาพและสุขภาพของสัตว์ดีขึ้น
การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคการเกษตรไม่เพียงช่วยเพิ่มผลผลิต แต่ยังตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการทราบแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์และวิธีการผลิตที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปลูกด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นยังไง
การวางแผนการปลูกด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นกระบวนการที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในภาคการเกษตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการเพาะปลูก เทคโนโลยีที่นำมาใช้มีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้:
1. สถานีตรวจวัดสภาพอากาศ (Weather Station):
การติดตั้งสถานีตรวจวัดสภาพอากาศในแปลงเพาะปลูกช่วยให้เกษตรกรสามารถวัดและบันทึกข้อมูลสภาพอากาศ เช่น ความชื้น ความเร็วลม ทิศทางลม และปริมาณน้ำฝน ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนการเพาะปลูกและพยากรณ์ผลผลิตในฤดูกาลนั้น ๆ ได้อย่างแม่นยำ
2. เทคโนโลยี IoT และการควบคุมการเจริญเติบโตของพืชผ่านแสง LED:
การใช้เทคโนโลยี IoT ร่วมกับการควบคุมแสงสว่างผ่าน LED ช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมปัจจัยการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถวางแผนการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ลดการสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
3. ระบบโรงเรือนอัจฉริยะ (Plant Factory):
การพัฒนาโรงเรือนที่สามารถควบคุมปัจจัยการผลิตพื้นฐาน เช่น น้ำ อากาศ อุณหภูมิ ความชื้น คาร์บอนไดออกไซด์ แสงสว่าง และลม ช่วยให้การเพาะปลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศภายนอก และเพิ่มคุณภาพของผลผลิต
4. การใช้โดรนในการเกษตร:
โดรนที่ติดตั้งเซ็นเซอร์และกล้องถ่ายภาพทางอากาศสามารถช่วยตรวจสอบสภาพแปลงเพาะปลูก วินิจฉัยโรคพืช และประเมินความต้องการปุ๋ยหรือสารเคมี ทำให้การจัดการแปลงเพาะปลูกมีความแม่นยำและลดต้นทุนการผลิต
การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้มาใช้ในการวางแผนการปลูกช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรได้อย่างยั่งยืน

ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับการทำเกษตรดิจิทัล
การทำเกษตรดิจิทัลเหมาะสมกับธุรกิจการเกษตรที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:
1. ธุรกิจฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farming):
ธุรกิจที่นำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT, เซ็นเซอร์, และระบบอัตโนมัติมาใช้ในการควบคุมและตรวจสอบสภาพแวดล้อมการเพาะปลูก เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดการใช้ทรัพยากร
2. ธุรกิจที่ใช้เครื่องจักรกลเกษตร หุ่นยนต์ โดรน และระบบอัตโนมัติ:
ธุรกิจที่นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการเพาะปลูกและการจัดการฟาร์ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการพึ่งพาแรงงานคน
3. ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการจัดการสินค้าเกษตร:
ธุรกิจที่นำบล็อกเชนมาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพและการจัดการสินค้าหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในห่วงโซ่อุปทาน
4. ธุรกิจที่พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร:
ธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและความยั่งยืน
5. ธุรกิจที่จัดการฟาร์มรูปแบบใหม่:
ธุรกิจที่นำเสนอรูปแบบการจัดการฟาร์มที่ทันสมัยและยั่งยืน เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการวางแผนการปลูกและบริหารจัดการแปลงปลูก เพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจการเกษตรไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ต้องใช้เงินเท่าไหร่หรือเงินทุนมากไหมที่จะเริ่มทำเกษตรดิจิทัลได้
การเริ่มต้นทำเกษตรดิจิทัลต้องการเงินทุนที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ ตัวอย่างเช่น:
1. โรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Greenhouse):
การลงทุนในโรงเรือนอัจฉริยะขนาดใหญ่ เช่น ขนาด 8×20 เมตร (พื้นที่ 160 ตารางเมตร) มีราคาเริ่มต้นประมาณ 170,000 บาท ซึ่งรวมถึงโครงสร้างโรงเรือน เครื่องควบคุม Smart Farm ระบบซอฟต์แวร์ควบคุมสั่งการผ่านอินเทอร์เน็ต และชุดเซ็นเซอร์พื้นฐานแล้ว
2. โดรนการเกษตร:
โครงการ “1 ตำบล 1 ดิจิทัล” ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้จัดสรรงบประมาณประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการนำโดรนมาใช้ในการเกษตร ซึ่งแสดงถึงการลงทุนในเทคโนโลยีนี้ที่มีค่าใช้จ่ายสูง แต่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมาก
3. การสนับสนุนจากภาครัฐ:
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มีโครงการสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกรและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น โครงการแจกคูปองดิจิทัลมูลค่าไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับการจัดซื้อชุดอุปกรณ์ระบบเกษตรอัจฉริยะ
นอกจากนี้ depa ยังมีโครงการ “depa Digital Transformation Fund for Community” เพื่อสนับสนุนงบประมาณในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในชนบท ซึ่งเกษตรกรสามารถสมัครเพื่อขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณได้
ดังนั้น การเริ่มต้นทำเกษตรดิจิทัลอาจต้องใช้เงินทุนตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับประเภทและขนาดของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ อย่างไรก็ตาม มีโครงการสนับสนุนจากภาครัฐที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการเกษตร

ข้อดีของเกษตรดิจิทัล
1. เพิ่มผลผลิต: ใช้เทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์และปรับการปลูกพืชหรือการเลี้ยงสัตว์
2. ลดต้นทุน: ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการติดตามและจัดการทรัพยากร
3. การตัดสินใจที่แม่นยำ: ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และ AI ช่วยเกษตรกรวางแผนได้ดีขึ้น
4. เกษตรยั่งยืน: ปรับใช้วิธีการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อเสียของเกษตรดิจิทัล
1. การลงทุนสูง: การติดตั้งเทคโนโลยีเริ่มต้นอาจมีค่าใช้จ่ายสูง
2. ทักษะการใช้งาน: เกษตรกรบางคนอาจขาดทักษะในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่
3. การพึ่งพาเทคโนโลยี: เกษตรกรอาจเสี่ยงหากเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค
ขอบคุณข้อมูลจาก : depa.or.th , spsmartplants.com , Digital Agriculture , agriculture.vic.gov.au
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ : ข่าวสาร & โปรโมชั่น